วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

Assignment  2



Search  Engine


ความหมายของ  Search  Engine

        Search  Engine  คือ  โปรแกรมที่ออกแบบมาเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์ต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการค้นหาคำสั้นๆหรือที่เรียกว่า   keyword   หรือคำค้นต่าง ๆ นั่นเอง ซึ่งข้อมูลนั้นอาจอยู่ในรูปแบบของเว็บไซต์  ไฟล์เอกสาร  ไฟล์รูปภาพ  สื่อมัลติมีเดีย  ไฟล์บีบอัด  และรูปแบบอื่น ๆ ที่สามารถบันทึกเป็นเอกสารออนไลน์ได้    โดยข้อมูลการเก็บรายชื่อเว็บไซต์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ของเว็บไซต์และนำมาจัดเก็บไว้ใน   server   เพื่อให้สามารถค้นหาและแสดงผลได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น การทำงานของ  Search Engine   นั้นจะทำงานก็ต่อเมื่อมีคนป้อนคำหรือที่เรียกว่า keyword ลงไปใน   Search Engine  นั้นๆจากนั้น  Search Engine ก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมาการใช้ search engine ที่ดีนั้นคือการค้นหาข้อมูลที่ตรงและถูกต้องตามที่เราต้องการ

ประโยชน์ของ  Search  Engine 


ค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้สะดวก  รวดเร็ว  และถูกต้อง

ค้นหาข้อมูลแบบเจาะลึกได้  เช่น  blog  seo  หนัง  รูป  หนังสือ  เป็นต้น
รองรับการค้นหาได้หลายภาษา

        Google.com  เป็น  Search  Engine  ตัวหนึ่ง ซึ่งหากเราจะเรียกแบบบ้านๆ  ตามประสาคนท่องเว็บแล้ว  Search  Engine  ก็คือเครื่องมือในการค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตนั่นเอง  นอกจาก  Google  แล้วยังมี  Search  Engine  อีกหลายๆ  ที่ชื่อดัง  ที่เราพอจะคุ้นหูคุ้นตาอยู่บ้าง  เช่น  Yahoo  MSN  เป็นต้น

        ซึ่งในปัจจุบัน  Search  Engine  ที่มีคนใช้เยอะที่สุดก็คือ  Google  นั่นเอง  ซึ่งเป็น  Search  Engine  ที่มีคนใช้บริการเยอะมาก  ทั้งๆ  ที่มีให้บริการมาไม่กี่ปีนี่เอง  เปิดมาไม่นานก็แซงหน้าขาใหญ่เดิมอย่าง  Yahoo  ไปชนิดที่เรียกว่ามองไม่เห็นฝุ่น  ก็เพราะว่าด้วยรูปแบบที่ใช้งานง่าย  และรวดเร็วนั่นเอง  แถมเป็นภาษาไทยอีกด้วย ยิ่งถูกใจคนไทยเป็นอย่างยิ่ง
        ซึ่งปรากฏการณ์  Google  ฟีเวอร์นี่เอง  ที่ทำให้คนส่วนหนึ่ง  ซึ่งส่วนใหญ่เป็น  Webmaster  หันมาทำ  SEO  เจาะที่  Search  Engine  ที่มีชื่อว่า  Google  กันอย่างถล่มทะลาย

ประเภทของ  Search  Engine


1.  แบบอาศัยการเก็บข้อมูลเป็นหลัก

        หลักการนี้เป็นการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า  Crawer - Based  Search  Engine  เป็นเครื่องมือที่ทำการบันทึกและเก็บข้อมูลเป็นหลัก  ซึ่งเป็นประเภท  Search  Engine  ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน  ซึ่งการทำงานประเภทนี้  จะใช้โปรแกรมตัวเล็กๆ  ที่เรียกว่า  Web  Crawer  หรือ Spider  หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  Search  Engine  Robots  หรือที่ีเรียกสั้นๆ ว่า  บอท  ในภาษาไทย  www  คือเครือข่ายใยแมงมุม  ตัวโปรแกรมตัวเล็กๆ  ตัวนี้ก็คือแมงมุมนั่นเอง  โดยเจ้าแมงมุมตัวนี้จะทำการไต่ไปยังเว็บไชต์ต่างๆ  ทั่วโลกอินเตอร์เน็ต  โดยอาศัยไต่ไปตาม  URL  ต่างๆ ขึ้นอยู่กับ  Search  Engine  แต่ละที่ว่าต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง  แล้วเก็บลงฐานข้อมูล  การใช้โปรแกรมกวาดข้อมูลแบบนี้  จะทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำ  และสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้เร็วมาก  Search  Engine  ที่เป็นประเภทนี้ เช่น  Google  Yahoo  MSN

2.  แบบสารบัญเว็บไชต์

        Search  Engine  ที่เป็นแบบนี้มีอยู่หลายเว็บไชต์มาก  ที่ดังที่สุดในเมืองไทยก็คือ  Sanook.com  หรือ  Truehits.com  เป็นต้น  ที่เราจะสังเกตเห็นจาก  Search  Engine  ประเภทนี้ก็คือ  ลักษณะของการจัดเก็บข้อมูลที่แสดงให้เราเห็นทั้งหมด  ว่ามีเว็บอะไรอยู่บ้างในฐานข้อมูล  ซึ่งแตกต่างจากประเภทแรก  ที่หากคุณไม่ค้นหาโดยใช้คำขึ้นต้น  หรือ  Keyword  แล้ว  คุณจะไม่มีทางทราบเลยว่ามีเว็บไซต์อะไรอยู่บ้าง  และมีเว็บอยู่เท่าไหร่แบบสารบัญเว็บไซต์จะแสดงข้อมูลที่รวบรวมเว็บไซต์ที่มีทั้งหมดในฐานข้อมูล  และจะแบ่งเป็นหมวดหมู่  และอาจมีหมวดหมู่ย่อย  ซึ่งผู้ค้นหาข้อมูลสามารคคลิกเข้าไปดูได้
        หลักการทำงานแบบนี้  จะอาศัยเพิ่มข้อมูลจากเจ้าของเว็บไซต์ต่างๆ  ที่ต้องการประชาสัมพันธ์เว็บ  หรืออาจใช้เจ้าหน้าที่ดูแล  ส่วน Search  Engine  เป็นผู้หาข้อมูลมาเพิ่มในฐานข้อมูล  ซึ่งข้อมูลในส่วนของสารบัญเว็บไซต์จะเน้นในด้านความถูกต้องของฐานข้อมูล  ซึ่งข้อมูลเว็บไซต์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาจะถูกตรวจสอบและแก้ไขจากผู้ดูแล

3.  แบบอ้างอิงในคำสั่ง

        Search  Engine  ประเภทนี้จะอาศัยข้อมูลใน  Meta  tag  ซึ่งเป็นส่วยของข้อมูลที่อยู่ในแท็ก  HEAD  ของภาษา  HTML  ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ให้ข้อมูลกับ  Search  Engine  Robots   Search  Engine  ประเภทนี้ไม่มีฐานข้อมูลของตนเอง  แต่จะอาศัยข้อมูลจาก  Search  Engine  Index  Server  ของที่อื่นๆ  ซึ่งข้อมูลจะมาจาก  Server  หลายๆที่  ดังนั้นจึงมักได้ผลลัพธ์จากการค้นหาที่ไม่แม่ยำ

Search  Engine  ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน  ได้แก่


         http://www.sanook.com

               http://www.sanook.com/
         http://www.google.com
               https://www.google.co.th/
         http://www.yahoo.com
               http://www.yahoo.com/
         http://www.msn.com
               http://th.msn.com/?rd=1&ucc=TH&dcc=TH&opt=0&tc=1
         http://www.live.com
               https://login.live.com/login.srf?wa=wsignin1.0&rpsnv=11&ct=1355467277&rver=6.1.6206.0&wp=MBI_SSL_SHARED&wreply=https:%2F%2Fmail.live.com%2Fdefault.aspx%3Frru%3Dhome%26livecom%3D1&lc=1054&id=64855&mkt=th-th&cbcxt=mai
         http://www.baidu.com  (  Search  Engine  อันดับ 1 ของประเทศจีน )
               http://www.baidu.com/
         http://www.ask.com
               http://www.ask.com/
            




คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์

ความหมายของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือมีศักยภาพสูงในการคำนวณประมวลผลข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข รูปภาพ ตัวอักษร และเสียง

ส่วนประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์


คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ 

หมายถึง  ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์  แบ่งออกเป็น 5 ส่วนคือ

ส่วนที1หน่วยรับข้อมูลเข้า (Input Unit)   

เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อ ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณ

เข้าสู่ระบบ เพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอรืทำงานตามความต้องการ ได้แก่

- แป้นอักขระ (Keyboard)

-แผ่นซีดี (CD-Rom)

-ไมโครโฟน (Microphone) เป็นต้น


ส่วนที2 หน่วยประมวลผลกลาง   (Central Processing Unit)

ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์ รวมถึงการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ

ส่วนที่3 หน่วยความจำ  (Memory Unit)
ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลาง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จาการประมวลผลแล้วเพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล

ส่วนที่4  หน่วยแสดงผล  (Output Unit)
ทำหน้าที่แสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล หรือผ่านการคำนวณแล้ว

ส่วนที่5  อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ   (Peripheral Equipment)
เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่น โมเด็ม (modem) แผงวงจรเชื่อมต่อ เครือข่าย เป็นต้น


ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์


1. มีความเร็วในการทำงานสูง สามารถประมวลผลคำสั่งได้รวดเร็วเพียงชั่ววินาที จึงใช้ในงานคำนวณต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
2.      มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ทำงานได้ตลอด 24 ชั่งโมง ใช้แทนกำลังคนได้มาก
3.      มีความถูกต้องแม่นยำ ตามโปรแกรมสั่งงานและข้อมูลที่ใช้
4.      เก็บข้อมูลได้มาก ไม่เปลืองเนื้อที่เก็บเอกสาร
5.    สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน

ระบบคอมพิวเตอร์


หมายถึง กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใดๆ กับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด เช่น ระบบเสียภาษี  ระบบทะเบียนราษฎร์  ระบบทะเบียนการค้า  ระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาล เป็นต้น 
      การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบจากการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน ดังนี้ 

1.ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หรือส่วนเครื่อง
2.ซอฟแวร์ (Software) หรือส่วนชุดคำสั่ง
3.ข้อมูล (Data)
4.บุคลากร (Peopleware)

ฮาร์ดแวร์ (Hardware) 

หมายถึง ตัวเครื่องและอุปกรณ์ส่วนต่างๆที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้  ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 4 ส่วน ดังนี้คือ 

    1.ส่วนประมวลผล (Processor)
    2.ส่วนความจำ (Memory)
    3.อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก (Input-Output    
       Devices)
    4.อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล (Storage Device)

ส่วนที่1 CPU

CPU เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เปรียบเสมือนสมอง  
        มีหน้าที่หลักในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ประมวนผลและเปรียบเทียบข้อมูล โดยทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลดิบและแปลงให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ความสามารถของ ซีพียู นั้น พิจารณาจากความเร็วของการทำงาน การรับส่งข้อมูล อ่านและเขียนข้อมูลในหน่วยความจำ ความเร็วของซีพียูขึ้นอยู่กับตัวให้จังหวะที่เรียกว่า สัญญาณนาฬิกา เป็นความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน 1 วินาที มีหน่วยเป็น เฮิร์ตซ์(Hertz)เช่น สัญญาณความเร็ว 1 ล้านรอบใน 1 วินาที เทียบเท่าความเร็วสัญญาณนาฬิกา 1 จิกะเฮิร์ตซ์ (1GHz)

ส่วนที่2 หน่วยความจำ (Memory)

จำแนกออกเป็น  2 ประเภท ดังนี้
1. หน่วยความจำหลัก (Main Memory)
2. หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage)

หน่วยความจำหลัก (Main Memory)
เป็นหน่วยเก็บข้อมูลและคำสั่งต่างๆของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย
ชุดความจำข้อมูลที่สามารถบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่ง ข้อมูลจะถูกนำไปเก็บไว้และสามารถนำออกมาใช้ในการประมวลผลภายหลัง โดยCPUทำหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและนำออกจากหน่วยความจำการทำงานของคอมพิวเตอร์ ต้องใช้พื้นที่ของหน่วยความจำในการทำงานประมวลผล        
และเก็บข้อมูล ขนาดของความจุของหน่วยความจำ คำนวณได้จากค่าจำนวนพื้นที่ที่สามารถใช้ในการเก็บข้อมูล จำนวนพื้นที่คือจำนวนข้อมูล และขนาดของโปรแกรมที่สามารถเก็บข้อมูลได้สูงสุด พื้นที่หน่วยความจำมีมากจะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้น

หน่วยประมวลผลกลาง (CPU)
หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU  มีความหมาย
ทางด้านฮาร์ดแวร์ 2 อย่าง คือ
ชิป (chip) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์





ตัวกล่องเครื่องที่มี CPU บรรจุอยู่




1.หน่วยความจำหลัก
แบ่งได้ 2  ประเภทคือ หน่วยความจำแบบ “แรม” (RAM)และหน่วยความจำแบบ”รอม”(ROM)
1.1 หน่วยความจำแบบ “แรม”   (RAM=Random Access Memory) 
เป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่อง หรือไม่มีกระแสไฟฟ้าป้อนให้กับเครื่อง เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ (Volatile Memory)


ลักษณะของหน่วยความจำ RAM










1.2 หน่วยความจำแบบ “รอม” (ROM=Read Only Memory) 
เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถาวรไม่ขึ้นกับไฟฟ้าที่ป้อนให้กับวงจร ยอมให้ซีพียูอ่านข้อมูลหรือโปรแกรมไปใช้งานอย่างเดียว ไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปเก็บไว้ได้โดยง่าย ส่วนใหญ่ใช้เก็บโปรแกรมควบคุม เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน (Nonvolatile Memory)

ชิปหน่วยความจำแบบรอม (ROM Chip)






หน่วยความจำสำรอง ( (((Secondary Memory Unit
หน่วยความจำสำรอง  หรือหน่วยเก็บข้อมูลรอง เป็นหน่วยเก็บที่สามารถรักษาข้อมูลได้ตลอดไปหลังจากปิดเครื่องคอมพิมเตอร์แล้ว หน่วยความจำรองมีหน้าที่หลักคือ
1--ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข้อมูลเพื่อใช้ในอนาคต
2.ใช้ในการเก็บข้อมูล โปรแกรมไว้อย่างถาวร
3.ใช้เป็นสื่อในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง


ประโยชน์ของหน่วยความจำสำรอง 

หน่วยความจำรองจะช่วยแก้ปัญหาการสูญหายของข้อมูลอันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับเพราะข้อมูลต่างๆที่ส่งเข้ามาประมวลผล เมื่อเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำไปเก็บในความจำหลักประเภทแรม หากปิดเครื่องหรือมีปัญหาทางไฟฟ้า อาจทำให้ข้อมูลสูญหายจึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำรอง เพื่อนำข้อมูลจากหน่วยความจำแรมมาเก็บไว้ใช้งานในครั้งต่อไป หน่วยความจำประเถทนี้ส่วนใหญ่จะพบในรูปของ
สื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลภายนอก เช่น ฮาร์ดดิสก์ แผ่นบันทึก ชิปดิสก์ ซีดีรอม ดีวีดี เทปแม่เหล็ก หน่วยความจำแบบแฟลช หน่วยความจำรองนี้ ถึงจะไม่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถทำงานได้ปกติ  


ส่วนแสดงผลข้อมูล
ส่วนแสดงผลข้อมูล   คือส่วนที่แสดงข้อมูลจากสัญญาณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลางให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้  อุปกรณ์ที่แสดงผลข้อมูลได้แก่  จอภาพ (Monitor) เครื่องพิมพ์( Printer)เครื่องพิมพ์ภาพ Ploter  และ ลำโพง (Speaker)  เป็นต้น 

monitor

plotter

printer

speaker

บุคบุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (PEOPLEWARE) 

บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียว หรือ หลายคนช่วยกันรับผิดชอบโครงสร้างของ หน่วยงานคอมพิวเตอร์


ประเภทของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (PEOPLEWARE) 

1.  ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน 2. 
2.  ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม 3. 
3.  ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ

บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์

1.  หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์ (EDP Manager)
2.  หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน (System Analyst หรือ SA)
3.  โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
4.  ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer Operator)
5.  พนักงานจัดเตรียมข้อมูล (Data Entry Operator)     

นักวิเคราะห์ระบบงาน   
ทำการศึกษาระบบงานเดิม ออกแบบระบบงานใหม่            
โปรแกรมเมอร์                
นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห์ระบบออกแบบไว้มาสร้างเป็นโปรแกรม                    
วิศวกรระบบ                
ทำหน้าที่ออกแบบ สร้าง ซ่อมบำรุง และดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามต้องการ                    
พนักงานปฏิบัติการ                
ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือภารกิจประจำวัน ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์


อาจแบ่งประเภทของบุคลากรคอมพิวเตอร์เป็นระดับต่างๆได้ 4 ระดับดังนี้

1. ผู้จัดการระบบ (System Manager) 
คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน
2. นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) 
คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู้
    เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน
3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer) 
คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราะห์ระบบได้เขียนไว้
4. ผู้ใช้ (User) 
คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งานโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ